วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

7 วัน กับการแบกเป้ เที่ยว จัมมู แอนด์ แคชรเมียร์ และ ทัช มาฮาล

เมื่อได้วีซ่าแล้ว ก็กำหนดวันเดินทาง โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่สนามบินนานาชาติสุวรณภูมิ เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ – นิวเดลี โดยสายการบิน Jet Airway ราคาไม่แพงมาก (ผมไม่ได้โฆษณาและมีส่วนได้ส่วนเสียกับสายการบินนะครับ)

เลยเลื่อกใช้สายการบินนี้ ราคาไปกลับอยู่ที่ 10,800 บาท เครื่อง Take off ค่อนข้างเช้า 06.50 น. และไปถึงที่นิวเดลี ประมาณ 9.45 น. และหลังจากนั้น ก็บินต่อจากนิวเดลีไป ศรีนากา เวลา13.25 – 14.55 น. โดยสายการบิน King Fisher ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท การเดินทาง จากนิวเดลีไปไปแคชเมีย

ต้องไปลงที่สนามบิน Srinaka ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชม.ถึงสนามบินศรีนากา สนามบินศรีนากาเป็นสนามบินภายในประเทศ และมีขนาดไม่ใหญ่มาก สิ่งแรกที่ไป

ภาพถ่ายจากบนเครื่องก่อนถึงศรีนากา
ถึงสนามบินจะพบความแตกต่างของสภาพอากาศ พอก้าวลงไปถึงสนามบินอากาศหนาวมากอยู่ที่ประมาณ 7 -13 องศาไม่เกินนี้ พอลงถึงสนามบินศรีนากา สิ่งแรกที่เราต้องทำคือกรอกรายละเอียดสถานที่เราจะไปพัก และหลังจากนั้นก็เดินทางออกมาจะมีคนขับรถมารับ ก็คือโรงแรมที่ติดต่อไว้


คนขับรถคือเจ้าของโรงแรม หลังจากนั้นเค้าก็ขับรถพาไปพักที่เมือง Palhagam ระหว่างทางที่รถขับภาพจะเห็นภาพทิวทัศน์สวยงามมากของแนวป่าสนยักษ์ ที่ยังคงธรรมชาติไว้ และความอุดมสมบรูณ์ไว้ ไม่ว่าจะต้นไม้อื่นๆก็จะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆมีอายุมากกว่า 10 ปี

แม้กระทั้งอีกาก็ตัวใหญ่มาก และภาพที่เราเห็นว่าอินเดียน้ำดำๆ สกปรก ๆ นั้นไม่ใช่เลย เมื่อมาที่แคชเมียร์ มันเหมือนคนละแผ่นดิน แม่น้ำใส ไม่มีขยะ ทิวทัศน์ก็สวยงามตลอดทาง และยังขับผ่านหมู่บ้านทำครกหิน, หมู่บ้านทำไม้คริกเก๊ต (ต้นหลิว) ซึ่งเป็นกีฬายอดฮิตของชาวอินเดีย


อินเดียการทำการเพาะปลูก และเกษตรกรรม, ปลูกพืช, เลี้ยงสัตว์ และที่อินเดียวเค้าจะไม่ใช้รถคันใหญ่ใหญ่แต่จะเป็น รถซูบารุขนาดเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องมีแอร์เพราะว่าอากาศข้างนอกหนาวมากแต่ถนนยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทำให้รถขับเร็วมากไม่ได้ และเมื่อไหร่ที่เข้าเขตเมืองรถจะติดมาก และไม่ต้องแปลกใจที่จะได้ยินเสียงคนบีบแตรตลอดเวลา

จากที่สอบถามว่าบีบแตร์แบบนี้เพื่ออะไร คนอินเดียเค้าบอกว่าเป็นการบีบให้สัญญาณให้รู้ว่ามีรถกำลังข้างหลัง หรือต้องการขอทาง ในเวลารีบเร่งในบางครั้ง (หากเป็นเมืองไทยถ้าบีบแตรแบบนี้มีหวังโดนยิงกะบาลกันบ้างหละ)



ในที่สุดก็มาถึงที่ซุกหัวนอน โรงแรม Kolahoi Green Resorts   บ้านพักที่คล้าย ๆ กระท่อม เตรียมต้วอาบน้ำนอน แต่จะบอกว่าตอนอาบน้ำทรมานมากถึงแม้จะมีน้ำอุ่น แต่เมื่อไหร่ที่ออกมาจากห้องน้ำอากาศเย็นมาก จำเป็นต้องขอผ้าห่ม เค้ามาเพิ่มอีกผืน  Good Nigth

วันที่ 2 ตื่นเช้ามาประมาณ 8.00 น.ได้มีโอกาสเดินออกไปดูรอบ ๆ โรงแรมและพื้นที่ไกล้จะเห็นว่ามีโรงแรมแถวนั้นเยอะมากและมีทัวร์มาลงทุกโรงแรม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนอินเดียซะมากกว่า อากาศหนาวได้ใจมาก พูดทีควันออกปาก

แต่มองวิวทิวทัศน์สวยมากๆบนภูเขามีหิมะตัดกับฟ้าสีครามมันช่างเป็นภาพที่มองแล้วมีความสุข มากๆ และหลังจากนั้นเราก็ไปได้ไปทานอาหารที่บ้านเจ้าของโรงแรมแบบกันเอง อาหารเช้าของคนอินเดียจะง่ายๆคือ มีโรตีนาน หรือ โรตีกะไข่เจียว และน้ำชาแคชเมียร์ ชาแคชเมียร์อร่อยมากเค้าจะต้มชาและผสมกับนมสด รสชาติจะมันๆหวานอร่อยชื่นใจดี

ทุ่ง Baisaran

หลังจากที่ทานข้าวเข้าแล้ว วันที่ 2 ของการท่องเที่ยวคือไปขี่ม้าขึ้นภูเขาที่ Baisaran เค้าว่าที่นี่สวยมากวิวทิวทัศน์เหมือน Switzerland และเป็นที่คนทางอินเดียจะมาถ่ายทำหนัง มีม้าและเจ้าของม้ามารอรับเรา เจ้าของม้าเค้าจะสอนเทคนิคในการขี้ม้านิดหน่อยแรกๆก็เกร็งเพราะสงสารม้าแต่ดูม้าแข็งแรงมา 

ระหว่างทางที่ขึ้นเขาสวยงามมากจะมีธารน้ำใสสะอาดไหลมาบนเขาและมีต้นสนสูงๆรายล้อมระหว่างทาง รวมทั้งต้นไม้ใหญ่ รวมทั้งตลอดข้างทางจะมีดอกไม้ขึ้นเต็มพื้นดินยังกะมีใครออกเอาไม้มาโรยไว้ ที่แปลกก็คือจะเห็นผู้หญิงชาวแคชเมียเดินขึ้นเขาและเดินลงมาพร้อมด้วยฝืนวางเทรินอยู่บนหัว แสดงว่า กระดูคอแข็งแรงมาก เดินมาเหมือนปกติไม่เหน็ดเหนื่อย 

สอบถามคนที่นำทางได้ความว่าที่แคชเมียผู้ชายมีหน้าที่ไปหาเงินมาเลี้ยงภรรยา ส่วนงานบ้านงานเรือนต้องเป็นผู้หญิงทำ รวมทั้งการเดินเท้าไปเก็บฝืนจากเขาและแบกใส่หัวลงมาที่บ้าน เป็นหญิงแกร่งจริงๆ และที่แปลกตาคือคนแคชเมียร์จะมีหน้าตาไม่เหมือนชาวอินเดีย แต่จะคล้ายๆแขกขาวแถบยุโรป ถ้ายิ่งอากาศหนาวด็กๆหรือผู้หญิงจะแก้มแดงมากๆเหมือนลูกตำลึง 

เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางเราก็ลงเพื่อให้ม้าได้กินหญ้ากินน้ำและพักระหว่างนั้นเราก็มีโอกาสได้เดินดูบริเวณรอบ ๆ มองจากเขาลงไปเป็นภาพสวยงามมากจะเห็นธารน้ำใสมากและเห็นภูเขาบนยอดเขามีหิมะปกคลุม และที่สำคัญลองเอามือไปสำผัสน้ำดูน้ำจะเย็นมาก พอม้าพักได้ซักระยะ ก็เดินทางต่อเพื่อไปดู Baisaran 

Baisaran
ถึงแล้ว ทุ่ง Baisaran สวยสมคำร่ำลือจริงๆ
และไม่นานเกินรอก็ถึงจุดหมายจะบอกว่าวิวสวยมากเห็นหญ้าเขียวกว้างๆรายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และมีภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ นอกจากนั้นบริเวณนั้นยังมีของที่ที่ระลึกขายด้วย ใช้เวลาในการเดินดูพักผ่อนบริเวณรอบๆ ถ่ายรูปประมาณ 1 ชม .ก็ได้เวลากลับ 

ขากลับก็จะเจอบรรยาศสวยงามเหมือนเดิมและก็จะมีคนที่เพิ่งขี่ม้ามาเที่ยวสวนทางกันไปมาเช่นกัน พอลงจากเขา Baisaran แล้วก็ไปรับปะทานอาหารที่บ้านจ้าของรงแรมเช่นเดิม คนอินเดียเค้าจะเริ่มทานอาหารกลางวันประมาณบ่ายสองถึงบ่ายสาม อาหารที่เค้าทำเลี้ยงคือ ไก่ผัดพริกแกงของอินเดีย ปลาเทาท์ทอด และไข่เจียว ดูแล้วอาหารมันจะเลี่ยนแต่เค้ามีสลัดแก้เลี่ยน สลัดของคนอินเดียทำง่ายๆคือเอาแตงกวา หอมหัวใหญ่ พริกหั่น ใส่พริกไทย และมะนาวสดบีบ แก้เลี่ยนได้ดีจริงๆ

สวนสาธารณะ Palhagam
ถึงแล้ว สวนสาธารณะ Palhagam
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจ้าของโรงแรมก็ขับรถพาไปเที่ยวสวนสารณะของเมื่อง Palhagam ที่สวน นิซาร์ท บรรากาศสวยมากเค้าปลูกดอกไม้สวยๆและที่ถูกใจมากคือเค้าปลูกดอกทิวลิปสวยงาม 

ดอกทิวลิปสีชมพู
 ดอกทิวลิปสีชมพู ที่ Palhagam
หลังจากนั้นเค้าก็ขับรถพาไปเที่ยวแถวธารน้ำไหลชมบรรยากาศรอบๆ พร้อมทั้งก่อนกลับก็พาแวะตลาดซื้อผลไม้ ผลไม้ที่นั่นถูกมาก องุ่นไร้เม็ดกิโลละ 80 รูปี แตงโม ส้ม และที่ชอบคือเค้าจะมีรถคั่วถั่วขายราคาไม่แพงแล้วแต่จะซื้อ 10 -20 รูปีแค่นี้ก็กินไม่หมดแล้ว และวันนี้ได้เปลี่ยนที่พักเรามาพักโรงแรมที่เป็นกระท่อม 

ธารน้ำ Palhagam
ธารน้ำใสเย็นที่ Palhagam
หน้าโรงแรมจะเป็นธารน้ำไหลสวยมากเปิดหน้าต่างออกไปจะเห็นเทือกเขาหิมาลัย เป็นอะไรที่บรรยากาศโรแมนติกมากๆ ข้าวเย็น ทางเจ้าของโรงแรมก็จะทำไก่ทอดให้แต่ทางเราอยากกินอาหารไทยๆบ้าง เลยขอน้ำร้อนมาต้มมาม่า รสต้มยำและยำปลากระป๋องที่เตรียมกินเอง


หลังจากนั้นก็อาบน้ำนอน แต่ที่แปลกคือแคชเมียอากาศจะหนาวมากและเค้าจะอาบน้ำกันแค่ช่วงเช้า แต่ตอนเย็นเค้าไม่นิยมอาบเพราะยิ่งอาบน้ำมันทำให้ผิวแห้งเนื่องจากอากาศเย็นมาก คืนนี้ ขอเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก่อน ที่นี้บรรยากาศดีมาก นอนหลับสบายและก็เตรียมตัวไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้น แค่นี้ก่อนครับ เดียวมาโม้ต่อใน วันที่ 3  เราไป ล่องแก่ง กับ ไปดูหิมะ

วันที่ 3 ทางโรงแรมได้พาไปดูหิมะที่จันทวารี ที่ภูเขานี้จะมีหิมะปกคลุมตลอดปีไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม ระยะทางที่ขึ้นไปก็ประมาณ 1 - 2 ชม. และทางก็ค่อนข้างคดเคี้ยว หากใครร่างกายไม่แข็งแรงพออาจจะมีอาการอ้วก วิงเวียนศรีษะได้  ตลอดสองข้างทางก็ชมความงามของธรรมชาติไปเรื่อย ๆ ดูความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของชาวบ้าน เช่น การซักผ้าในคลองแล้วเอาไม้ตี ตี ชมธารน้ำไหลข้างๆภูเขาตลอดทาง และแล้วก็มาถึงจันทวารี 

หิมะจันทราวารี
ความสวยงามของหิมะที่ จันทราวารี
โอ้....จอร์จ  มันยอดมาก สวยงามคุ้มค้ากับการนั่งรถไกล ๆ พอเดินไปถึงสถานที่เค้าเล่นหิมะ จะมีคนท้องถิ่นเอาไม้ยาวๆและไม้กระดานไว้เล่นหิมะไว้บริการ ส่วนไม้ยาวไว้เป็นตัวช่วยเวลาเดินขึ้นบนเขาเพราหิมะมันจะลื่นมาก เมื่อชมวิว ทิวทัศน์จนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาไปเที่ยวที่อื่น ๆ 

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับลงมาเพื่อมาเที่ยว สวนเบนตาวารี ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนกลับไป เมืองพาฮากาม ที่สวนเบนตาวารี จะร่มรื่นและสวยมากมีต้นไม้ ทุ่งหญ้าและธารน้ำ สวยสะอาด สบายตา ที่สวนเบนตาวารีก็เป็นที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกันมากมากเช่นกัน สวนนี้ถ้าเป็นหน้าหนาวจะปกคลุมไปด้วยหิมะ หลังจากเที่ยวที่จันทาวารและสวนเบนตาวารีแล้วก็ได้เวลากลับกลับไปรับประทานอาหารที่บ้านเจ้าของโรงแรม 

ล่องแก่ง แครชเมียร์
ล่องแก่ง 
หลังจากนั้น ก็เตรียมตัวไปเล่นล่องแก่ง สถานที่นี้มีบริษัทฯหลายบริษัทฯที่บริการเรื่อล่องแก่ง มีอุปกรณ์ชูชีพพร้อม บรรยากาศก็สวยงามเหมือนเคยเพราะ มองไปรอบๆก็จะเจอภูขาปกคลุมด้วยหิมะและธารน้ำไหล ถึงแม้อากาศจะหนาว 

ไหนๆก็มาแล้วก็เลยลองเล่นล่องแก่ง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก แถมกลัวเปียก กลัวหนาว แต่ทั้งหมดสนุกมาก และพอไปที่จุดสิ้นสุดล่องเรือก็จะมีรถเจ้าของโรงแรมเค้ามารับและหลังจากนั้นก็เตรียมตัวกลับที่พักเพื่ออาบน้ำและพักผ่อนแถวๆที่พักโรงแรม

โดยนั่งหน้าโรงแรมชมวิวทิวทัศน์บรรยากาศรอบที่หน้าโรงแรมจะเห็นธารน้ำไหลใสสะอาดมาก ทางฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นสนาม Golf มองสูงขึ้นไปก็จะเป็นเทือกเขาหิมาลัยโดยมีหิมะปกคลุมตลอดปีเป็นภาพที่สวยงามมากและหลังจากนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ก็ เตรียมตัวไปนอนพักที่อารู 

โรงแรมที่เราไปพักคือ โรงแรมวู้ดสต็อก (Wood Stock Hotel)  เป็นโรงแรมระดับ สามดาวครึ่ง ราคาไม่แพงมาก ถือว่า โอเคเลยที่เดียว



เมืองนี้เค้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็น Switzerland เพราะจะต้องขึ้นเขาไปนอนกลางหุบเขามองบรรยากาศรอบๆจะเห็นแต่ภูเขาและหิมะปกคลุมสวยงามมาก และการเดิน ไปนอนที่อารูใช้เวลาประมาณ 1 ชม ข้างทางเป็นภูเขาทางแคบและมองลงข้างล่างเป็นหุบขาวลึกก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ 

พอเดินทางไปถึงโรงแรมเค้าต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อากาศที่อารูหนาวมากกว่าที่ Palhagam เยอะมากต้องอยู่แต่ในห้องและใช้การเผาถ่านหินในการให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ทางโรงแรมที่อารูเค้าทำสลัดให้ก็แบบง่ายๆที่กล่าวมาแล้ว 

และยังมีกับข้าวแกงเขียวหวานแกะที่แม่เจ้าของโรงแรมทำมาให้กิน อร่อยมาก หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นซักพักก็เข้านอนพักที่โรแรม บรรยากาศหนาวมากเปิดหน้าต่างก็เห็นวิวภูเขาปกคลุมด้วยหิมะล้อมรอบสวยงามมาก พอมองลงไปด้านล่างมีคนกางเต็นท์นอนด้วย ไม่หนาวกันเลยน้อ   ต่อ พรุ่งนี้ไปเที่ยว อารู (Aru) กัน

วันที่ 4 ตอนเช้าตื่นมาก็ไปรับประทานอาหารที่บ้านเจ้าของโรมแรมเหมือนเดิม อาหารเช้าก็จะเป็นโรตีหรือที่เค้าเรียก นาน และไข่เจียว น้ำชาแคชเมีย ตื่นเช้ามาก็เดิมชมบรรยากาศรอบๆอารูอากาศหนาวมากทนไม่ไหวจนต้องขอยืมเสื้อกันหนาวของเจ้าของโรงแรมใส่

แล้วเดินดูบรรยากาศรอบๆ และสภาพอากาศสวยงามมาก เห็นหุบเขาหิมะรายล้อมและทำให้เราได้สูดอากาศเต็มปอดมาก ดูสภาพสิ่งแวดล้อมบรรากาศเหมือน Switzerland จริงๆ เป็นภาพประทับใจอีกที่ที่ไม่อาจลืม 


ถนนจะแคบๆเลียบตามเขาแบบนี้
หลังจากนั้นก็เตรียมตัวกลับที่ Pahagam บรรากาศขากลับก็สวยมากๆเพราะตอนมาค่อนข้างดึกเลยเห็นไม่ชัดแต่ขากลับมีโอกาสได้เก็บ บรรยากาศสวยๆ มีธารน้ำใสๆจากหิมะละลายและรายล้อมด้วยภูเขามีหิมะปกคุลม

หลัจากกลับไปที่ Pahagam ก็รับประทานอาหารและทางเจ้าของโรงแรมพาไปเที่ยวป่าสงวนใช้เวลาในการเดินขึ้นเชาสูงพอควรประมาณ 200 เมตรในนั้นก็จะมีสัตว์ป่า เช่น กวาง เก้ง นกยุง ลิง หมี และประจวบเหมาะกับที่เจ้าหน้าที่เค้าดูแลบอกว่ามีลูกหมีควายสามารถเข้าไปถ่ายรูปไกล้ๆได้เลยได้เข้าไปถ่ายรูปคู่หมีควาย

และก็เดินทางลงมา ระหว่างที่เดินทางลงมาบรรยากาศแถวนั้นจะมีดอกไม้ริมทางสีขาวโพนเต็มพื้นหญ้ายังกะมีคนเอาดอกไม้ไปโรยไว้ พอได้เวลาซักพักก็เดินทางกลับและทางเจ้าของโรงแรมก็พาไปไหว้สถานที่ศักสิทธิ์ โดยมีศิวลึงศ์และพระพิฆเนตร ตรงหน้าเทวสถานจะมีน้ำพุที่ผุดขึ้นมาเองเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสไปไหว้

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับเพื่อปับประทานอาหารกลางวัน หลังากที่รับประทานอาหารกลางวันแล้วก็ไปซื้อของที่ระลึกของฝากในตลาดเมือง Pahagam มาที่แคชเมียร์ที่ขาดไม่ได้คือซื้อผ้าไหมแคชเมียร์มีหลายราคามากตั่งแต่ 300 บาทถึงราคา 10,000 บาท

และมีของ Hand Made, Paper Marché ราคาไม่แพงแนะนำว่าการซื้อของที่อินเดียให้ต่อเยอะ ๆ ประมาณครึ่งราคาไม่งั้นคุญจะเสียใจที่หลังว่าทำไมไม่ต่อ พอซื้อของเสร็จก็กลับไปพักผ่อนมองดูทิวทัศน์หน้าโรงแรม และหลังจากนั้นก็ปับประทานอาหารที่บ้านเจ้าของโรงแรม และเตรียมตัวเก็บของเพื่อเดินทาง กลับนิวเดลี ในวันรุ่งขึ้น


วันที่ 5 ตื่นเช้ามาก็รับปะทานอาหารเช้า เก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวกลับนิวเดลี โดยออกจากจาก Palhagam ประมาณซัก 11.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางไป Srinagar Airport ประมาณ 3 ชม  ถึงสนามบินศรีนากาประมาณ 13.00 น

ไปนิวเดลี ด้วยสายการบิน Air Indigo ราคาอยู่ประมาณ 3000 บาท เครื่อง Take off เวลา 15. 45 น.และถึงนิวเดลีประมาณ 17.30 น. หลังจากนั้นก็รอรถโรงแรมที่จองในนิวเดลีมารับ  โรงแรมที่จองอยู่ใกล้สนามบินมากใช้เวลาขับรถประมาณ 15 นาที ชื่อ โรงแรมปริ๊นซ์ โปโลเนีย (Prince Polonia Hotel)  ระดับ 2 ครึ่ง ฮ่า ๆ



พอมาถึงนิวเดลี สภาพอากาศคนละเรื่องเลย ร้อนมากๆและไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ รอบๆโรงแรมมี ที่ขายของ มี Super Market มีร้านอาหารไทยขาย หลังจากนั้นก็ไปเที่ยวตลาดจันปาด ค่ารถก็ประมาณ 300 รูปี พอมาดูแล้วผ้าที่สวยๆในเมืองแคชเมียมาขายที่นี่แพงสองเท่า เลยไม่ซื้อ

แนะนำว่าหากต้องการซื้อของหากเค้าบอกราคามาให้ต่อประมาณครึ่งหนึงแล้วบอกว่าเรามีเงินซื้อเท่านี้หากเค้าลดได้เค้าจะลดให้เราเอง ถ้าไม่ได้ก็ต่อรองกันไป หลังจากนั้นก็กลับที่พักและนัดแนะกับทางโรงแรมว่าจะให้มารับเราไป เทียวทัชมาฮาล ตอน 9 โมงเช้า

โดยเค้าคิดค่ารถอยู่ที่ 4,500 รูปีไม่รวมค่าทางด่วน  และเจ้าของโรมแรมเค้าจะเดินทางไปกับเราด้วย ถือว่าอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัย นอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปชม  ทัชมาฮาล  แต่เช้า 

ทัชมาฮาล
อนุสรณ์สถานแห่งความรัก ทัชมาฮาล

วันที่ 6 เวลา 9.00 น. ทางโรงแรมก็มารับเพื่อเตรียมตัวไป Arga ซึ่งเป็นที่ตั้งของทัชมาฮาล การเดินทางค่อยข้างใช้เวลานานพอสมควรใช้เวลาในการเดินทางไปกลับก็ประมาณ 8 ชม. บรรยากาศข้างทางจะเป็นคนละแบบที่แคชเมีย 

ส่วนมากพื้นที่จะเป็นการทำเกษตรซะมากกว่า คนขับรถเค้าแวะให้กินข้าวที่โรงแรมระหว่างทางถือว่า อาหารสะอาดใช้ได้ แต่ราคาก็ตกประมาณ 100 – 200 บาท แนะนำว่าให้เตรียมน้ำดื่มไปเองนะ โดยไปหาซื้อที่ Super Market ดูแล้วปลอดภัยและสะอาดกว่า

ประมาณบ่ายสองก็ถึงมาถึง ทัชมาฮาล อากาศร้อนมากและต้องต่อแถวในการซื้อตั๋วเข้าชมยาวมาก สำหรับคนไทยถ้านำพลาสปอร์ตไทยไปแสดงจะรับส่วนลดเหลือ ราคา 500 รูปี หรือประมาณ 250 บาท

สำหรับไกด์นำเที่ยว หากใครต้องการก็สามารถไปหาได้ที่นั่นเลย ราคาแล้วแต่จะตกลง แต่เนื่องจากทางโรงแรมเค้าบริการไปเชิญไกด์มาให้ด้วยราคาก็แล้วแต่เราจะให้ เลยโชคดีไป ใช้เวลาในการเดินเที่ยวชมและถ่ายรูปที่ ทัชมาฮาลประมาณ 1 ชม.และก็เดินทางกลับ

ระหว่างทางกลับทางโรงแรมพาแวะถ่ายรูปป้อม ที่เค้าใช้เป็นบังเกอร์ และยิงปืนเวลามีสงคราม และเค้าพาไปซื้อพรมที่ร้านแต่ราคาแพงมากเป็นหมื่นเลย ดังนั้นเลยได้แค่ชม และหลังจากนั้นก็พาไปเที่ยวชมโรงงานแกะสลักหินอ่อน และถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ถือว่าค่าใช้จ่าย 4500 รูปีนี่คุ้มมากๆเพราะเป็นส่วนตัวและเค้าพาไปหลายที่

หากเราต้องการแวะที่ไหนก็บอกคนขับรถได้ ขากลับค่อนข้างเหนือย ก็จะมีหลับ ๆ ตื่น ๆ ดูทิวทัศน์ข้างทางบ้างและก็มาถึงโรงแรมประมาณ 1 ทุ่ม หลังจากนั้นก็เดินดูสินค้าแถว Super Market ซื้อน้ำดื่มและผลไม้สดรับประทาน ส่วนอาหารเย็นมือ้นั้นคือมาม่าและปลากระป๋อง หลังจากนั้นก็นอนพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น หมดเวลาสนุกแล้วซิ  


วันที่ 7 เวลาประมาณ 8.00 น ทางโรงแรมเตรียมชานมและไข่เจียวไว้ให้เป็นอาหารเช้า และได้นัดแนะโรงแรมให้รถมารับเพื่อไปส่งที่สนามบินนานาชาติ กรุง นิวเดลี โดยราคาอยู่ที่ 200 รูปี จ่ายตรงกะโรงแรมได้เลยส่วนคนขับถก็แล้วแต่เราจะให้ทิป

หลังจากนั้น 8.30 ก็ออกจากโรมแรม เพราะ Flight กลับกรุงเทพฯประมาณ 13.00 น. พอไปถึงสนามบินก็เช็คอินและไปนั่งรอข้างในถึงตอนนี้ก็สามารถเลือก Shopping ของใน ดิวตี้ฟรี ก่อนกลับได้เลย และก็มาถึงเมืองไทยประมาณ 18.00 น. ถือว่าจบสิ้นการเดินทางที่ประทับใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น